10 จุดแตกต่าง เปรียบเทียบ PUBG และ Free Fire ใครเด่นเรื่อง Battle Royale กว่ากัน?
เกมแนว Battle Royale เป็นเกมที่ได้รับความนิยมมานานหลายปี หากจำกันได้ว่าเราหลายคนเคยได้ดูหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งชื่อเรื่องว่า Battle Royale ตั้งแต่ปี 2000 หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจให้หลายคน รวมถึงค่ายเกมที่จะผลิตเกมแนวนี้ออกมา โดยเกมที่ดังที่สุด ณ ตอนนี้ จะมีสองเกมก็คือ PlayerUnknown’s Battlegrounds หรือที่เรียกว่า PUBG และ Free Fire ซึ่งผู้เล่นคนไทยและต่างชาติ ก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว และวันนี้ เราจะมายกให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสองเกมนี้ ใน 10 หัวข้อกัน
เล่นมาทั้งสองเกมแล้ว แบบไหนดีกว่ากัน? เปรียบเทียบกันแบบชัดๆ
กราฟฟิก และ ภาพในเกม
หนึ่งในสิ่งที่เห็นได้ชัดถึงความแตกต่าง อย่างชัดเจนประการแรกเลยก็คือกราฟฟิกในเกมที่มีสไตล์ที่แตกต่างกัน โดยที่ PUBG เน้นความสมจริง และเน้นภาพวิวที่เหมือนจริง การออกแบบอาวุธ และตัวละครก็ดูเป็นคนจริงๆ ซึ่งจะเจาะกลุ่มคนที่ชอบเล่นเกมที่มีตัวละครใกล้เคียงกับคนจริงมากที่สุด
ในขณะที่ ฟีฟายนั้น จะออกแนวเป็นการ์ตูนมากกว่า สภาพแวดล้อมในเกมจะดูมีสีสันสดใสกว่า และดูไม่ซีเรียสในการเล่น (แต่สมจริง) โดยผู้เล่นที่ชอบ ฟีฟาย ก็จะเป็นแนวที่ไม่ได้ชอบสไตล์ของความสมจริงเหมือนกันกับพับจี
การเล่นเกม และ เวลาในการเล่น
การเล่น PUBG นั้นตัวแผนที่จะมีขนาดกว้างใหญ่ ที่สามารถรองรับผู้เล่นได้พร้อมๆกันถึง 100 คนในการแข่งขันแต่ละครั้ง ซึ่งทำให้การเล่นนั้นใช้เวลาในการจบมากกว่า โดยเฉลี่ยแล้วใช้เวลาราวๆ 30 นาที หรือมากกว่านั้นก็ได้ ผู้เล่นแต่ละคนจะต้องมีแผนการรุก และรับ ตามสภาพพื้นที่ภูมิศาสตร์ และค่อยๆเป็นค่อยๆไปอย่างช้าๆ โดยมีหลักการและแผนการ ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบการวางแผนการรบ อ้างอิง Steam ผู้เล่นส่วนใหญ่จะมีอายุราวๆ 20-24 ปี
Free Fire จะต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช้แผนที่ขนาดเล็กกว่า และการดำเนินเกมเร็วกว่า โดยที่ในหนึ่งเกมจะมีผู้เล่นสูงสุด 50 คน โดยใช้เวลาสั้นมากในการจบเกมคือราวๆ 10 นาที เท่านั้น ทำให้มีการเปลี่ยนเกม ได้เร็วกว่า เหมาะกับคนที่ชอบอะไรเร็วๆ หนักๆ และต้องการจบเกมเร็วๆ ซึ่งหากอ้างอิงข้อมูล Statista คนที่เล่นฟีฟายมักมีอายุตั้งแต่ 18-24 ปี และ อายุส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 25-34 ปี และอาจเป็นไปได้ว่า คนที่มีอายุมากกว่าชอบเกมอะที่จบเร็วๆกว่า เพราะอาจมีงานที่ต้องทำมากกว่าคนอายุน้อยกว่า
อาวุธ ยุทโธปกรณ์ และการปรับแต่ง
PUBG มีอาวุธให้เลือกค่อนข้างมาก มีหมวดหมู่ของอาวุธถึง 9 รูปแบบด้วยกันเช่น อาวุธประชิดตัว ปืนพก ปืน shotguns ปืนกล ไรเฟิล ฯลฯ มีตัวเสริมอาวุธหลากหลาย รวมถึงอุปกรณ์ ซึ่งทำให้ผู้เล่นชอบในจุดนี้ เพราะสามารถปรับแต่งให้เข้ากับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี รายละเอียดอาวุธและวิธีการใช้งานค่อนข้างสมจริงในระหว่างเล่นเกม โดยที่ผู้เล่นแต่ละคนสามารถปรับแต่งตัวละครของตัวเองก่อนการเล่นได้อย่างอิสระ
หากมองมุม Free Fire ก็ไม่ได้น้อยหน้า แต่ เป็นอาวุธที่ค่อนข้างจะตรงๆ และมีให้เลือกน้อยกว่า ในตัวเลือกของปืน และตัวเสริม แต่ไม่ได้หมายความว่าเกมจะด้อยกว่า เพียงแต่ว่าทำให้การเล่นง่ายขึ้นเท่านั้น และจุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้เล่นเล่นเกมได้อย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ในทางกลับกัน ตัว Skin ของตัวละครจะมีให้เลือกเยอะกว่า PUBG เช่นการแต่งตัว Avatar ของแต่ละคน (เน้นไปเรื่องการแต่งตัว แต่ไม่ได้เน้นเรื่องอาวุธ)
การเข้าเล่นเกม และ อุปกรณ์ที่สามารถใช้เล่นได้
ฟีฟายเป็นเกมที่ค่อนข้างเบา ซึ่งหมายถึงว่าไม่ต้องใช้เสปคในการเล่นที่สูงเกินไป (low system requirement) ทำให้สามารถครอบคลุมกลุ่มตลาดผู้เล่นได้มากกว่า โดยมีความต้องการขั้นต่ำในมือถือ Android ที่ต่ำมากเช่น OS: Android 4.4 CPU: Dual core 1.2GHz RAM: 1GB Storage: 1.5GB+ และใน iOS 9 CPU: Iphone 5s RAM: 1GB Storage: 1.5GB+ จะเห็นได้ว่า มือถือเก่าๆ ก็สามารถเล่นฟีฟายได้
PUBG จะเป็นในทางตรงกันข้าม เนื่องจากต้องการระบบปฏิบัติการที่สูงกว่า โดยที่ไม่ต้องแปลกใจเลย เพราะว่ามีกราฟฟิกที่สมจริงมากกว่าหากเปรียบเทียบกับ Free Fire ซึ่งทำให้คนที่มีมือถือแรงๆ เท่านั้นถึงจะเล่น PUBG ได้ (อ้างอิง system requirement จาก steam)
กลุ่มคนเล่น และการจัดการแข่งขัน
PUBG และ Free Fire มีกลุ่มคนเล่นที่ใกล้ๆกัน และอาจมีจำนวนคนเล่นที่แซงกันบ้างในบางปี อ้างอิงข้อมูลจาก escharts.com ในปี 2020 ในบางครั้ง จะมีคนเล่น Free Fire มากกว่า PUBG และ ในบางเดือนคนก็จะเล่น PUBG มากกว่า ซึ่งตรงนี้อาจเป็นเพราะในเรื่องของการจัดการแข่งขัน eSports ในแต่ละครั้ง รวมถึง การเปิดตัวของ Event สำคัญๆ หรือการ update patch ของแต่ละเกมด้วย
ซึ่งในข้อมูลผ่าน escharts.com ที่เดิมการแข่งขัน PUBG แบบ Tournament ต่างๆ PUBG มักจะได้รับความนิยมมากกว่า ฟีฟาย แต่อย่างไรก็ดีจำนวนฐานผู้เล่นนั้นใกล้เคียงกันที่ 134.6 ล้านคน สำหรับ PUBG Mobile และ 133.2 ล้านคน สำหรับ ฟีฟาย
รูปแบบการเล่น และ ฟีเจอร์ สำคัญๆ
รูปแบบการเล่น PUBG อยู่บนพื้นฐานความเสมือนจริง ผู้เล่นจะได้เจอกับสภาพอากาศ การยิง การเล็งปืน ที่คล้ายของจริงมากกว่า รวมถึงการวางแผนการรบด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพพื้นที่ ที่ทำให้มีปัจจัยต่อการเอาชนะฝั่งตรงข้าม ด้วยการวางแผนโดยใช้ชั้นเชิง และ PUBG มีการใช้ยานพาหนะที่มีหลากหลายมากกว่าเช่น รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และเรือด้วย
สำหรับฟีฟาย จะเป็นการเล่นแบบง่ายๆ เน้นไปที่ความเร็วของเกม ซึ่งตัวเกมนั้นมีความรวดเร็วในการเล่นและการจบเกมที่รวดเร็วทำให้หลายคนชื่นชอบมากกว่า เรียกได้ว่าสามารถเรียกอดรีนาลินของผู้เล่นได้ค่อนข้างดี
การสื่อสารกันในเกม และการสร้างทีม
ทั้งสองเกมนี้ จุดสำคัญของมันก็คือการวางแผนโดยการพูดคุยกัน และเป็นสิ่งที่ทำให้ชนะเกมได้หากเล่นเป็นแบบทีม สำหรับ PUBG จะสามารถทำ Voice Chat ในเกมได้ทำให้สามารถสั่งการวางแผน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนการต่อสู้ในแผนที่และสภาพภูมิศาสตร์ที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้ต้องมีการพูดคุยกันในเกมมากกว่าปกติ
สำหรับ Free Fire ก็มีการใช้เสียงในเกมได้ มีการแชทคุยกันได้ แต่โดยมากแล้วจะสื่อสารกันด้วยเสียงซะส่วนใหญ่เนื่องจากเป็นเกมที่เร็ว หากมานั่งพิพม์อาจเสียเวลาในเกมค่อนข้างมาก
ความถี่ในการอัพเดทของตัวเกม และฟีเจอร์
ในหลายปีที่ผ่านมา user บางคนถึงกับบ่นว่า PUBG มีการอัพเดทตัวเกมบ่อยมาก และในปัจจุบันปี 2024 นี้ มีการ update patch notes ไปแล้วถึง 31.2 version โดยในการอัพเดทแต่ละครั้งจะมี แมพใหม่ๆ อาวุธใหม่ๆ และยานพาหนะ ซึ่งสามารถติดตามได้ที่หน้านี้ https://pubg.com/en/news?category=patch_notes
ซึ่งจะมีบอกถึงรายละเอียดในการอัพเดทในแต่ละครั้ง แต่ในปัจจุบันความถี่ในการอัพเดทเริ่มน้อยลงแล้ว
ฟีฟาย ในทางกลับกันยังคงอัพเดทอยู่ตลอดเวลา โดยมีตัวละครเพิ่มใหม่ มีสกินใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมี Event หรือกิจกรรมให้ผู้เล่นได้ทำกันอยู่เป็นประจำ ซึ่งมีผลทำให้มีผู้เล่นสนใจจำนวนมากและกลับไปเล่นซ้ำ เพราะกิจกรรมที่ทำค่อนข้างน่าสนใจ
ผู้เล่นเกมไหนอยู่ประเทศโซนไหนกันบ้าง?
PUBG จะเป็นเกมที่เล่นกันมากทั่วโลก และมีคนเล่นมากที่สุดในประเทศฝั่งยุโรป อเมริกาเหนือ และ เอเชีย ซึ่งหากอ้างอิงข้อมูลจาก Medium.com แต่หากอ้างอิงข้อมูลจาก Statista จะพบว่าประเทศจีนแลอเมริกาเป็นประเทศที่เล่น PUBG มากที่สุด
สำหรับ ฟีฟาย นั้น ส่วนใหญ่คนเล่นจะใช้มือถือที่ไม่ได้มีความแรง และดูเหมือนว่าประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศที่มีการเล่น ฟีฟายมากที่สุด รองลงมาคือ อินโดนีเซีย บราซิล เวียดนาม และ มาเลเซีย (อ้างอิง esportsearnings.com) และเนื่องจากว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีเสปคเครื่องเล่นเกมเช่นมือถือที่สูง ทำให้หลายคนสามารถเล่นได้โดยไม่ต้องมีมือถือแพงๆ ทำให้ได้คนเล่นที่หลากหลายมากกว่า
หากจะให้เลือกเล่น เกมไหนเหมาะกับเราที่สุด?
จริงๆแล้ว การที่จะบอกว่าเกมไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล และอยากให้ทดลองเล่นทั้งสองเกม และการทดลองเล่นนั้น ไม่ใช่เล่นแค่ครั้งหรือสองครั้ง ลองเล่นเก็บเลเวลไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งถึงจะรู้ว่าตัวไหนเหมาะกับตัวเองมากกว่ากัน
สำหรับคนที่มีมือถือเสปคต่ำๆ ก็อาจจะเริ่มที่ Free Fire และหากไม่ชอบก็อาจต้องไปลองเครื่องที่แรงเล่น PUBG ดูบ้าง และสำหรับคนที่ชอบความสมจริง ก็ควรลองเล่น PUBG แต่สำหรับคนที่ชอบเกมเร็วๆ ไม่ซีเรียส ก็ไปเล่น ฟีฟาย อันนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล
และสำหรับคนที่เล่นเกมทั้งสองเกมนี้คือทั้ง PUBG และ ฟีฟายก็มักจะมีพฤติกรรมที่เหมือนกัน นั่นก็คือการใช้เงินเติมเกม สำหรับการซื้อไอเทมใหม่ๆ ซื้ออาวุธ หรือซื้อสกิน ดังนั้นไม่ต้องห่วงเลยว่า การเล่นแล้วฝีมือไม่ดี หรือสู้ไม่ได้จะมีผลต่อผลลัพธ์ของเกม นั่นเป็นเพราะว่า หากมีไอเทมที่ดี เหมาะกับการวางแผนเกม ก็จะสามารถทำให้เล่นเกมได้สนุกมากขึ้นและสามารถ Enjoy กับเกมได้เป็นระยะยาว