ทำความรู้จัก Pay to Win ในเกมคืออะไร? ทำไมบางคนชอบบางคนไม่เอา

0
4

วงการเกมทุกวันนี้เต็มไปด้วยโมเดลการหารายได้ที่แตกต่างกันไป หนึ่งในระบบที่ถูกพูดถึงและเป็นที่ถกเถียงมากที่สุดก็คือ “Pay to Win” (P2W) ที่กลายเป็นทั้งเส้นแบ่งระหว่างผู้เล่น และเป็นจุดขายของผู้พัฒนาเกมหลายราย บางคนมองว่าเป็นการสนับสนุนเกมและทำให้เล่นง่ายขึ้น ในขณะที่อีกฝ่ายมองว่าเป็นระบบที่ทำลายความสมดุลและไม่ยุติธรรม ก่อนอื่นเรามาดูว่าวิธีการหาเงินของค่ายผู้พัฒนาเกมมีแบบไหนบ้าง?

ควรต้องรู้ก่อน 4 วิธีหลักๆ ของค่ายเกมในการหารายได้ จากการพัฒนาเกม

โมเดลหารายได้ รายละเอียด ตัวอย่างเกม
Pay-to-Play (ซื้อขาด) จ่ายเงินซื้อเกมก่อนเล่น Elden Ring, The Witcher 3
Ad-Supported (มีโฆษณา) เล่นฟรีแต่มีโฆษณาคั่น Subway Surfers, Candy Crush
Pay-to-Fast (เติมเพื่อเร่งเวลา) จ่ายเงินเพื่อข้ามเวลารอ Clash of Clans, Genshin Impact
Pay-to-Win (P2W) จ่ายเงินเพื่อความได้เปรียบในเกม Free Fire, FIFA Ultimate Team
Subscription (สมัครสมาชิก) จ่ายเงินรายเดือน/ซีซัน Xbox Game Pass, Fortnite Battle Pass

 

วงการเกมในปัจจุบันไม่ได้มีแค่เกมที่ซื้อขาดเหมือนสมัยก่อน แต่พัฒนาไปจนมีโมเดลการหารายได้ที่หลากหลาย ทั้ง ขายตัวเกม, โฆษณา, ระบบเติมเงิน หรือแม้แต่โมเดลสมัครสมาชิก และรูปแบบCloud Gaming ซึ่งล่าสุดเราจะเห็นว่าแม้แต่ผู้ผลิตการ์ดจอยังออกมาทำ Game Subscription อย่าง Nvidia GeForce Now เลยทีเดียว และวันนี้เราจะมาสำรวจว่าเกมในปัจจุบันมีวิธีการหารายได้แบบไหนบ้าง และ Pay to Win อยู่ตรงไหนของโมเดลธุรกิจเหล่านี้

1. เกมแบบซื้อขาด (Pay-to-Play หรือ P2P)

เกมแบบซื้อขาดคืออะไร?

เกมประเภทนี้เป็นรูปแบบดั้งเดิมที่ผู้เล่นต้อง จ่ายเงินซื้อเกมล่วงหน้า ก่อนเล่น โดยอาจเป็นการซื้อขาดครั้งเดียวหรือซื้อเป็นตอน (episodic content)

ตัวอย่างเกมที่ใช้โมเดลนี้

  • เกมคอนโซล เช่น God of War, The Legend of Zelda, Elden Ring, หรือตระกูล GTA
  • เกม PC เช่น The Witcher 3, Cyberpunk 2077, Baldur’s Gate 3
  • เกมมือถือแบบพรีเมียม เช่น Monument Valley, Stardew Valley

ข้อดีของโมเดลนี้

✅ เกมมักจะไม่มีโฆษณาหรือระบบเติมเงินมารบกวน
✅ ผู้เล่นสามารถเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมดได้ตั้งแต่แรก
✅ มักเป็นเกมที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ก่อนวางขาย

ข้อเสียของโมเดลนี้

❌ ผู้เล่นต้องจ่ายเงินก่อนเล่น ทำให้บางคนลังเล
❌ รายได้ของนักพัฒนาอาจไม่ยั่งยืนถ้าขายได้ไม่มากพอ


2. เกมฟรีที่มีโฆษณา (Ad-Supported Games)

เกมที่มีโฆษณาคืออะไร?

เกมประเภทนี้เปิดให้เล่นฟรี แต่ผู้พัฒนาเกมจะ สร้างรายได้จากโฆษณาที่แสดงในเกม ซึ่งอาจเป็นในรูปแบบของ

  • โฆษณาป๊อปอัป – เด้งขึ้นมาระหว่างเล่น
  • โฆษณาวิดีโอแบบบังคับดู – เช่น ต้องดูโฆษณาเพื่อปลดล็อกไอเท็มฟรี
  • โฆษณาแฝงในเกม – เช่น ป้ายโฆษณาในสนามแข่งรถ

ตัวอย่างเกมที่ใช้โมเดลนี้

  • เกมมือถือแนว Hyper-Casual เช่น Subway Surfers, Candy Crush, Angry Birds
  • เกมแนว Idle เช่น AFK Arena

ข้อดีของโมเดลนี้

✅ เล่นฟรี 100%
✅ ผู้พัฒนาเกมยังคงได้รับรายได้จากโฆษณา
✅ เหมาะสำหรับเกมที่เล่นง่าย ไม่ต้องใช้เวลานาน

ข้อเสียของโมเดลนี้

❌ โฆษณาอาจรบกวนประสบการณ์การเล่น
❌ บางเกมใส่โฆษณาหนักเกินไป ทำให้เล่นไม่สนุก


3. ระบบเติมเงินในเกม (In-App Purchases หรือ IAPs)

เกมที่มีระบบเติมเงินคืออะไร?

เกมประเภทนี้เปิดให้เล่นฟรี แต่มีการขายไอเท็ม, สกิน, ตัวละคร หรือระบบพรีเมียมอื่น ๆ ภายในเกม โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก

3.1 Pay-to-Fast (หรือ Pay-for-Convenience)

  • การเติมเงินเพื่อเร่งเวลา เช่น ใช้เงินจริงข้ามเวลารอในเกมสร้างเมือง
  • ซื้อทรัพยากร เช่น เพชร, เหรียญ หรือพลังงาน

ตัวอย่างเกมที่ใช้ระบบนี้: Clash of Clans, Genshin Impact, Diablo Immortal

3.2 Pay-to-Win (P2W)

  • การเติมเงินเพื่อให้ตัวละครหรือไอเท็มที่แข็งแกร่งกว่าผู้เล่นทั่วไป
  • บางเกมเปิดให้ผู้เล่นซื้อไอเท็มที่ให้ความได้เปรียบใน PvP

ตัวอย่างเกมที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น P2W: FIFA Ultimate Team, Raid: Shadow Legends, Free Fire

ข้อดีของโมเดลนี้

✅ ผู้เล่นสามารถเล่นฟรีได้โดยไม่ต้องเสียเงิน
✅ เกมสามารถอัปเดตเนื้อหาใหม่ได้เรื่อย ๆ
✅ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นเลือกว่าต้องการจ่ายเงินหรือไม่

ข้อเสียของโมเดลนี้

❌ เกมบางเกมอาจออกแบบให้ “บีบ” ให้ผู้เล่นต้องเติมเงิน
❌ P2W อาจทำลายความสมดุลของเกม


4. ระบบสมัครสมาชิก (Subscription Model หรือ Battle Pass)

เกมที่มีระบบสมัครสมาชิกคืออะไร?

ผู้เล่นต้องจ่ายค่าสมาชิกแบบรายเดือนหรือรายซีซัน เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์พิเศษ เช่น Battle Pass, Premium Pass หรือบริการเกมรายเดือน หรือ พวก Cloud Gaming ที่ ได้บอกไปก่อนหน้านี้ 

ตัวอย่างเกมที่ใช้โมเดลนี้

  • Xbox Game Pass, PlayStation Plus, Apple Arcade – บริการเล่นเกมแบบเหมาจ่าย
  • NVIDIA GeForce Now – สำหรับเล่นเกมความละเอียดสูง ที่คอมที่บ้านไม่ต้องแรงก็เล่นได้
  • Netflix Game – อันนี้มาพร้อมกับดูหนังได้ ซีรีส์ได้ และ เกมได้
  • Fortnite Battle Pass, Call of Duty Battle Pass – จ่ายเงินเพื่อปลดล็อกของรางวัลตามซีซัน
  • World of Warcraft, Final Fantasy XIV – เกม MMORPG ที่ต้องสมัครสมาชิกเพื่อเล่น

ข้อดีของโมเดลนี้

✅ ให้มูลค่าสูงกว่าการซื้อแยกทีละเกม
✅ สนับสนุนการพัฒนาเกมระยะยาว
✅ ไม่ทำให้ผู้เล่นเสียเปรียบเหมือน P2W

ข้อเสียของโมเดลนี้

❌ ถ้าไม่เล่นบ่อยอาจไม่คุ้มค่า
❌ ผู้เล่นต้องจ่ายเงินต่อเนื่อง


อธิบายต่อ Pay to Win ในเกม คืออะไร?

Pay to Win (P2W) คือระบบในเกมที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถจ่ายเงินจริงเพื่อซื้อความได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มพลังให้ตัวละคร อาวุธที่ดีขึ้น หรือไอเท็มพิเศษที่ทำให้ผู้เล่นที่จ่ายเงินสามารถชนะผู้เล่นทั่วไปได้ง่ายขึ้น ซึ่งสามารถยกตัวอย่างเกมแบบนี้ได้ดีที่สุดก็คือ Garena Free Fire ที่ยิ่งเติมยิ่งเทพ ส่วนเกมที่ใกล้เคียงกันอย่าง PUBG Mobile อันนี้เติมเพื่อความสวยงามเฉยๆ

ตัวอย่างของ Pay to Win อาจเป็นเกมที่

  • ขายไอเท็มเพิ่มพลังให้ตัวละคร เช่น อาวุธระดับสูงที่มีดาเมจเหนือกว่าไอเท็มทั่วไป
  • เปิดให้เติมเงินเพื่อข้ามเวลาการอัปเกรดหรือฟาร์มไอเท็ม
  • ขายตัวละครหรือตัวละครพิเศษที่เก่งกว่าตัวฟรี
  • มีระบบ “กาชา” ที่ทำให้คนที่เติมเงินมากกว่ามีโอกาสได้ไอเท็มหายากมากขึ้น ยกตัวอย่างเกมที่มี กาชาแพงๆ เลยก็คือ ROV ที่ต้องเติมคูปอง และไปสุ่มกาชากัน

แนวคิดของ P2W แตกต่างจาก Pay to Play (P2P) ซึ่งเป็นโมเดลเกมที่ผู้เล่นต้องจ่ายเงินก่อนเข้าเล่น เช่นเกมแบบซื้อขาด (single-purchase) หรือระบบสมัครสมาชิกรายเดือน

ทำไมบางคนถึงชอบ Pay to Win?

1. สนับสนุนเกมและช่วยให้พัฒนาได้ต่อไป

เกมจำนวนมาก โดยเฉพาะเกมแนว Free-to-Play (F2P) จำเป็นต้องมีรายได้เพื่อพัฒนาและดูแลเซิร์ฟเวอร์ P2W เป็นหนึ่งในโมเดลที่ช่วยให้เกมสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องพึ่งค่าใช้จ่ายจากการขายเกมแบบดั้งเดิม

2. ประหยัดเวลา ไม่ต้องเสียเวลาฟาร์มหรือไต่แรงค์

เกมหลายเกมถูกออกแบบให้การเล่นแบบ “สายฟรี” ต้องใช้เวลานานมากในการฟาร์มหรือสะสมทรัพยากร การเติมเงินช่วยให้ผู้เล่นสามารถข้ามขั้นตอนที่น่าเบื่อและไปสนุกกับคอนเทนต์ท้ายเกมได้เลย

3. ความรู้สึกพิเศษและสถานะทางสังคมในเกม

บางคนชอบที่ตัวเองมีไอเท็มหรือสกินหายากที่คนอื่นไม่มี ซึ่งสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจและเพิ่มสถานะทางสังคมในเกม การมีตัวละครระดับสูงหรืออาวุธหายากมักเป็นสัญลักษณ์ของ “ความเป็น VIP” ในเกม พูดง่ายๆก็คือ มันคือการโชว์ฐานะในเกมนั่นแหละ

4. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

ในเกมที่มีการแข่งขันสูง เช่น เกม MMO หรือ Battle Royale บางคนต้องการได้เปรียบเหนือคู่แข่งโดยไม่ต้องใช้เวลาฝึกฝนมากมาย การเติมเงินทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น


ทำไมบางคนถึงเกลียด Pay to Win?

1. ความสมดุลย์ในเกมเสียไป

ปัญหาใหญ่ของ P2W คือทำให้เกมไม่สมดุล เพราะผู้เล่นที่จ่ายเงินจะมีข้อได้เปรียบที่มากกว่าผู้เล่นทั่วไป ซึ่งทำให้ประสบการณ์การเล่นแย่ลงและรู้สึกไม่แฟร์

2. ความภูมิใจของผู้เล่นสายฝีมืออาจไม่เหลือ

สำหรับเกมเมอร์ที่มุ่งเน้นฝีมือ (skill-based players) การที่คนสามารถจ่ายเงินเพื่อข้ามอุปสรรคหรือได้รับไอเท็มที่ดีกว่าทำให้ความพยายามของพวกเขาดูไม่มีความหมาย และทำให้เกมกลายเป็น “เกมของคนที่มีเงิน” แทนที่จะเป็น “เกมของคนที่เก่ง”

3. อาจกลายเป็นการพนันและกาชาที่ดูดเงินผู้เล่น

เกมหลายเกมใช้ระบบ กาชา (Gacha) หรือ Loot Box ที่ผู้เล่นต้องเติมเงินเพื่อลุ้นรับไอเท็มหายาก ซึ่งอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายเกินตัว ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายจะออกมาให้ความเห็นว่า Gacha หรือพวก กล่องสุ่มในเกมมันเหมือนกันกับการพนัน แต่ ในต่างประเทศ Gacha ไม่ถือว่าเป็นการพนัน ทำให้บางเกมในไทยยังคงเปิดให้บริการรูปแบบนี้ได้อยู่

4. ทำให้เกมเน้นขายของแทนที่จะพัฒนาเนื้อหา

เกมที่เน้น P2W มากเกินไปอาจส่งผลให้ทีมพัฒนามุ่งเน้นการขายไอเท็มและโปรโมชั่นเติมเงินมากกว่าการสร้างเนื้อหาใหม่ที่น่าสนใจ ทำให้เกมสูญเสียความเป็นเกมและกลายเป็นแพลตฟอร์มขายของแทน แต่อย่างไรก็ดี เดี๋ยวนี้การทำเกมออกมา จะเป็น P2W หรือ P2P ก็ตาม ผู้ผลิตดูเหมือนจะมุ่งเน้นหาเงินซะมากกว่า โดยเฉพาะ P2P มีเนื้อหา DLC ใหม่ๆ ก็จริง แต่ราคาก็แพงหูฉี่เลยทีเดียว ยกตัวอย่างเกมเช่น Diablo IV : Vessel of Hatred DLC ที่ทำออกมาแต่เนื้อหายังคงไม่ได้ประทับใจเท่าไหร่


แล้วเกมแบบไหนที่ Pay to Win มีปัญหามากที่สุด?

จะเป็นเกมประเภทไหนก็ตาม ก็มีปัญหาหมดนั่นแหละ ยกตัวอย่าง FiveM ก็มีปัญหากันในเกม แต่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ P2W นั้น มักจะมีอยู่ในเกมแนวประมาณนี้

  • MMORPG – P2W สามารถทำให้ผู้เล่นที่เติมเงินสามารถเอาชนะผู้เล่นสายฟรีได้โดยแทบไม่ต้องใช้ฝีมือ
  • เกมแนว PvP เช่น MOBA หรือ FPS – P2W ในเกมประเภทนี้อาจทำให้เกิดความไม่แฟร์ เพราะคนที่มีเงินมากกว่าสามารถซื้ออาวุธหรือฮีโร่ที่เก่งกว่าได้
  • เกมกาชา หรือเกมที่เน้นตัวละครแบบสุ่ม – คนที่เติมเงินมากกว่าย่อมมีโอกาสได้ตัวละครหรือไอเท็มหายากมากขึ้น ทำให้เกมกลายเป็น “แข่งกันเติม”

มีวิธีไหนที่ทำให้เกมสมดุลระหว่าง P2W และ Fair Play?

1. Pay to Fast แทน Pay to Win

เกมบางเกมใช้โมเดล “Pay to Fast” แทน P2W ซึ่งช่วยให้ผู้เล่นสามารถเติมเงินเพื่อข้ามเวลาฟาร์มหรืออัปเกรดได้เร็วขึ้น แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อสมดุลการแข่งขัน

2. การให้ไอเท็มที่เติมเงินได้สามารถหาได้ฟรีในเกม

บางเกมทำให้ไอเท็มที่เติมเงินสามารถได้รับจากการเล่นด้วยวิธีอื่น เช่น การทำเควสต์ หรือระบบแลกเปลี่ยนไอเท็มในเกม ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ว่าจะดีทั้งหมด มันก็มีลักษณะคล้ายๆกันกับ P2F นั่นแหละ และถ้าหากว่าสามารถแลกเปลี่ยนไอเท็มซื้อขายกันในเกมได้อีก ยิ่งอาจเสี่ยงกับการโดนโกง หรือ โก่งราคา ซึ่งควบคุมได้ยาก

3. ระบบจับคู่ที่แยกผู้เล่นที่เติมเงินและไม่เติมออกจากกัน

บางเกมมีระบบ Matchmaking ที่แยกกลุ่มผู้เล่น P2W และสายฟรีออกจากกัน เพื่อให้การแข่งขันแฟร์มากขึ้น

ตัวอย่างเกมที่มีระบบจับคู่แยกผู้เล่นที่เติมเงินและไม่เติม (Fair Matchmaking System)

แม้ว่าระบบจับคู่ที่แยกผู้เล่นสายเติมเงิน (P2W) และสายฟรี (F2P) จะไม่ใช่เรื่องปกติในทุกเกม แต่ก็มีบางเกมที่พยายามนำระบบนี้มาใช้เพื่อลดปัญหาความไม่สมดุลในเกม มาดูกันว่าเกมไหนบ้างที่ใช้ระบบนี้

1. Warframe

แนวเกม: Third-Person Shooter, MMO
ระบบจับคู่:

  • Warframe เป็นเกมที่เน้นการเล่นแบบ PvE (Player vs Environment) มากกว่า PvP
  • เกมนี้เปิดให้ผู้เล่นสามารถฟาร์มไอเท็มและตัวละคร (Warframe) ได้ฟรี แต่ก็มีระบบเติมเงินเพื่อข้ามเวลาฟาร์ม
  • ในโหมด PvP (Conclave) มีการจำกัดพลังของอาวุธและอุปกรณ์เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้เล่นที่เติมเงินและไม่เติม

2. World of Tanks

แนวเกม: Vehicle Combat, MMO
ระบบจับคู่:

  • มีการแยก Matchmaking ตามระดับพลังของรถถัง
  • หากผู้เล่นใช้รถถังที่ได้จากการเติมเงิน (Premium Tanks) ระบบจะจับคู่ให้เล่นกับรถถังระดับเดียวกัน ไม่ใช่เจอกับผู้เล่นสายฟรีที่อาจเสียเปรียบ
  • ระบบช่วยลดปัญหาผู้เล่นเติมเงินได้เปรียบจนเกินไป

3. Hearthstone

แนวเกม: Card Game
ระบบจับคู่:

  • ระบบ Matchmaking ของ Hearthstone ใช้อัลกอริธึม MMR (Matchmaking Rating) เพื่อจับคู่ผู้เล่นที่มีระดับพลังเด็คใกล้เคียงกัน
  • ผู้เล่นที่เติมเงินเพื่อซื้อการ์ดหายากและสร้างเด็คที่แข็งแกร่งขึ้นมักจะถูกจับไปเจอกับผู้เล่นที่มีเด็คระดับเดียวกัน
  • ทำให้สายฟรีสามารถแข่งขันกันได้โดยไม่ต้องเจอกับผู้เล่นที่มีการ์ดระดับตำนานทุกใบ

4. Call of Duty: Mobile

แนวเกม: FPS, Battle Royale
ระบบจับคู่:

  • มีระบบ SBMM (Skill-Based Matchmaking) ที่จับคู่ผู้เล่นตามทักษะ
  • ถึงแม้เกมจะมีระบบเติมเงินเพื่อปลดล็อกอาวุธหรือสกินปืนที่มีสเตตัสดีกว่า แต่ระบบ Matchmaking มักจะจับคู่ให้ผู้เล่นที่มีอุปกรณ์ดีเจอกับคนที่มีระดับไอเท็มใกล้เคียงกัน
  • ลดปัญหาการเติมเงินเพื่อได้เปรียบในโหมด Competitive

5. Dota 2

แนวเกม: MOBA
ระบบจับคู่:

  • เกมนี้ไม่มี Pay to Win โดยตรง เพราะไอเท็มที่เติมเงินเป็นเพียงสกินเท่านั้น
  • อย่างไรก็ตาม ระบบ Matchmaking ของ Dota 2 ใช้อัลกอริธึมจับคู่ผู้เล่นที่มี MMR ใกล้เคียงกัน เพื่อให้เกมแฟร์ขึ้น

6. Genshin Impact

แนวเกม: Open-World RPG
ระบบจับคู่:

  • แม้ว่าเกมนี้จะมีระบบกาชาและ Pay to Win ในการดึงตัวละครระดับสูง แต่ในโหมด Co-op ระบบจะจับคู่ผู้เล่นที่มี Adventure Rank (AR) ใกล้เคียงกัน
  • ทำให้ผู้เล่นสายฟรียังสามารถร่วมทีมกับคนที่มีตัวละครระดับสูงได้โดยไม่ถูกบดขยี้จากผู้เล่นที่เติมหนัก

สรุป: Pay to Win เป็นเรื่องดีหรือเปล่านะ?

Pay to Win ไม่ใช่สิ่งที่แย่เสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับว่าถูกนำมาใช้ในเกมแบบไหนและส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้เล่นอย่างไร บางเกมสามารถใช้โมเดลนี้โดยไม่กระทบต่อความสนุกของเกม แต่บางเกมกลับใช้มันเป็นเครื่องมือรีดเงินจากผู้เล่นจนทำลายสมดุลของเกม

หากเป็นผู้เล่น ต้องเลือกเกมให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเอง ถ้าคุณไม่ชอบความไม่แฟร์ อาจต้องหลีกเลี่ยงเกมที่ขึ้นชื่อว่าเป็น P2W แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาเล่นและอยากสนุกแบบรวดเร็ว P2W อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

ในอนาคต เกมเมอร์และนักพัฒนาเกมต้องช่วยกันหาสมดุลที่เหมาะสม เพื่อให้เกมยังคงสนุกและแฟร์สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสายฟรีหรือสายเติมเงินก็ตาม